
- เชื้อกามโรค อย่างเบาะๆเช่น "ซิฟิลิส" ถ้าเข้าตาก็ทำให้ตาบอดได้ หรืออย่าง "เชื้อหนองใน" ถ้าเข้าคอไปก็ทำให้เป็นหนองอักเสบคล้ายโรคทอนซิลกลัดหนอง แต่ต้องรักษาโดยใช้ยาฆ่าเชื้อแบบกามโรคถึงจะหาย
- เชื้อรา ติดตามใยผ้าได้โดยเฉพาะผ้าที่ใช้เครื่องอบแห้ง ไม่ได้ตากแดด จึงไม่อาจทำลายสปอร์เชื้อราและเชื้ออีกหลายชนิดได้ เมื่อเอามาใส่ก็อาจทำให้เกิดโรคได้ เพราะส่วนใหญ่เชื้อราชอบความอับชื้นมาก
- เชื้อตกขาว สตรีที่มีโรคภายใน เชื้อตกขาวจะออกเพ่นพ่านยามซักผ้า ถ้าซักชั้นในควรแยกกับผ้าอื่น และยิ่งไม่ควรซักรวมกับคนอื่น เพราะเชื้อเหล่านี้มองไม่เห็นและแม้เจ้าตัวเองบางทีก็ยังไม่ทราบเลยว่ากำลังป่วยอยู่
- เชื้อโรคผิวหนัง ผ้าที่เป็นของส่วนตัวมากอย่างผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวนี่ยิ่งน่ากลัวที่สุด เพราะสัมผัสกับทั้งเซลล์หนังกำพร้าที่หลุดลอก (ขี้ไคล), น้ำตา, น้ำมูก, น้ำลาย, และสารคัดหลั่งที่อุดมไปด้วยเชื้อหนอง, เชื้อรา, กลาก, เกลื้อน, โรคตาแดง ฯลฯ
อย่าคิดว่าผงซักฟอกจะซักออกเสมอไปผ้าอีกชนิดที่คนไทยสนิทสนมและอยู่ใกล้ชิดติดกับตัวที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น "ผ้าขาวม้า" ถ้าเปรียบผ้าเสมือนญาติ ผ้าขาวผ้าก็ต้องเป็นยิ่งกว่าเพื่อนบ้านคือเป็นประเภทภรรยาและเพื่อนสนิทเลยทีเดียว เพราะใช้ใส่เที่ยว, กิน, เล่น, นอนไปจนตอนอาบน้ำก็ได้
"ผ้าขาวม้า" วิวัฒนาการมาจากผ้าขาวม้าเปอร์เซีย ที่ชื่อว่า "กามา (Kamar)" แล้วต่อมาก็เป็น "คัมเมอร์บันด์ (Cummerbund)" ผ้าคาดเอวผู้ชายเวลาแต่งทักซิโดเต็มยศ แต่คนไทยอดนำมาใช้แบบหลากวัตถุประสงค์กว่าไม่ได้ นับเป็นภูมิปัญญาไทยที่เปลี่ยนผ้าแขกและผ้าฝรั่งให้เป็น "ผ้าอเนกประสงค์" อย่างผ้าขาวม้า
ทว่าใช้มากก็ยิ่งเปื้อนมาก ยิ่งหลากหน้าที่ก็ยิ่งมีเชื้อโรคมาก เพราะผ้าที่ว่าก็มีซอกเล็กซอกน้อยยิบย่อยในใยผ้า เดี๋ยวเอามานุ่งแล้วเอามาห่มเช็ดหน้าเช็ดตา ถึงอย่างไรก็ต้องหาทางซักให้บ่อยขึ้นกว่าผ้าทั่วไป จะใช้ผงซักฟอกพิเศษที่ว่าทำให้ขาวทะลุจอก็อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะคำว่า "ขาว" ไม่ได้แปลว่า "สะอาด" แต่ถ้าอยากให้ปราศจากเชื้อมากที่สุดและเสี่ยงน้อยที่สุด ก็ขอฝากเทคนิคหยุดโรคจากการซักผ้าไว้ดังนี้
- แยกชั้นในและถุงเท้าต่างหาก
- สองอย่างนี้เป็นส่วนที่สัมผัสกับเนื้อเรามากที่สุด ดังนั้นจึงมีจุดปนเปื้อนที่ทำให้ปะปนกับเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มอื่นๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วทำให้เชื้อก้าวกระโดดแบบไร้ขอบเขต เชื้อฮ่องกงฟุตจากเท้าก็อาจจะขึ้นหัวหรือเชื้อตกขาวจากชั้นในอาจลามไปทำให้ตาแดงได้
- อย่าฝากซักรวม
- ยิ่งกับคนที่ไม่คุ้นแม้จะอยู่ชั้นเดียวกันหรือจะต้องใช้เครื่องร่วมกัน ลำพังผ้าเราเองยังซักแยกแล้วจะไปแลกเชื้อกับคนอื่นทำไมให้เหนื่อยเพิ่ม การซักร่วมเป็นการเติมเชื้อโดยไม่จำเป็น แค่ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าเช็ดหน้าก็พาเชื้อลามมาติดผ้าของเราได้แล้ว
- ก่อนสวมตากแดด
- ขอวอนให้พาเสื้อผ้าและบริขารทุกสิ่งอย่างที่สัมผัสกับตัวเรา ไม่ว่าจะผ้าปูที่นอน, ปลอกหมอน, มุ้ง หรือ แม้แต่ผ้าอ้อมเด็กต้องเช็กให้ปลอดเชื้อ โดยการเอาออกผึ่งแดดบ้าง หลังซักเสร็จแล้วอยากให้แห้งไวๆ ขอให้เลือกวันที่แดดแรงๆ พามันไปตากอากาศบ้าง เพราะถ้าขาดแสงยูวีจากแดดแล้วเชื้อโรคจะหายไปไม่หมด
- ไม่แวดล้อมความชื้นแฉะ
- อย่าปล่อยให้ผ้าแห้งเองโดยไม่ถูกแดด ถือเป็นกฎหมายลูกที่ตามมาจากข้อบน เพราะคนมักคิดว่าถ้าแห้งแล้วคือสะอาดพอใช้และใส่ได้ แต่ระหว่างการแห้งเองโดยที่ไม่ได้ตากแดดนั้น มันเป็นช่วงที่ความสกปรกในใยผ้าจะจับลงไปในซอกเล็กซอกน้อยได้แน่นยิ่งขึ้น และเมื่อหยิบเอามาใส่แบบเต็มๆ แบบมึ้นๆ เชื้อโรคก็จะขึ้นอยู่รอบตัวเราทั้งวัน
- แนะนำให้เปลี่ยนเมื่อโดนความเปียกชื้น
- เพราะความชื้นเป็นตัวเรียกเชื้อโรคต่างๆ แม้ชื้นจากเหงื่อของเราเองก็มีเชื้อโรค โรคผิวหนังที่น่าอาย น่ารำคาญอย่างพวกกลาก, เกลื้อน, สังคัง ฯลฯ ส่วนใหญ่มันก็มาจากคราบเหงื่อที่ชื้นแฉะ ยิ่งความขยันต่ำในการเปลี่ยน การอาบน้ำ โดยเฉพาะพวกที่ชอบปล่อยให้เปียกเหงื่อจนแห้งไปเองอย่างนี้ก็มีความเสี่ยงมากขึ้น มักพบได้ในนักกีฬา และผู้มีเหงื่อมากค่ะ

No comments:
Post a Comment